สื่อคอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัยตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้บนพื้นฐานการทำงานของสมองเรื่องพระพุทธรูปจำนวน 8 ปาง ที่เด็กไทยควรรู้จัก

Abstract

การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสื่อคอมพิวเตอร์เพื่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย ตามแนวคิดการจัดการเรียนรู้บนพื้นฐานการทำงานของสมอง เรื่อง : พระพุทธรูป จำนวน 8 ปาง ที่เด็กไทยควรรู้จัก โดยหาประสิทธิภาพและความพึงพอใจ ประชากรในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 2 อายุ 5-6 ปี โรงเรียนเทพวิทยา สังกัดกรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 จำนวนทั้งสิ้น 30 คน ใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยการสุ่มแบบง่าย ผลการศึกษาพบว่า การทดสอบก่อนเรียน เด็กนักเรียน 30 คน เป็นชาย 12 คน เป็นหญิง 18 คน เคยเห็นพระพุทธรูปมาก่อน และเมื่อได้ทดลองใช้สื่อคอมพิวเตอร์ที่จัดสร้างนี้ พบว่า เด็กทั้งหมดทำการทดสอบหลังเรียนได้คะแนนเฉลี่ย ร้อยละ 97.50 ถือว่าผ่านเกณฑ์ประสิทธิภาพที่ตั้งไว้ร้อยละ 80 ในระดับดีมาก จากการสังเกตเชิงคุณภาพ พบว่า เด็กมีความสุข และสนุกสนาน สามารถทำงานประสานกันภายในกลุ่ม แบ่งหน้าที่กันศึกษาข้อมูล มีการตรวจทานความถูกต้อง เมื่อพบความผิดพลาดก็สามารถแก้ไขด้วยตนเองภายในกลุ่มได้ สื่อที่จัดสร้างในครั้งนี้ จึงบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ คือ ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ทั้งในรูปแบบเฉพาะตัวบุคคลและกลุ่มย่อย เกิดการจดจำ แยกแยะ เปรียบเทียบ จำนวนและการนับ การวางแผนตัดสินใจ การมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและเพื่อน รวมทั้งการมีสุนทรียภาพจากงานพุทธศิลป์ ตามแนวทางการเรียนรู้บนพื้นฐานการทำงานของสมอง การศึกษาครั้งนี้มีข้อเสนอแนะ คือ กระทรวงศึกษาธิการควรจัดให้องค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเรียนการสอนในระดับอนุบาลศึกษา อีกทั้งควรมีการพัฒนาต่อยอดการสร้างสื่อคอมพิวเตอร์ ที่เกี่ยวกับพระพุทธรูป ให้มีรายละเอียดในเชิงลึก และมีความหลากหลายในเชิงปริมาณให้มากขึ้น นอกจากนั้น ควรสนับสนุนให้มีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลางเกี่ยวกับ ภาพ เสียง และกราฟิกค่าง ๆ ทางด้านประวัติศาสตร์ศิลปะ เพื่อบริการสังคมอีกด้วย

The purpose of this study is to create the computer assisted instruction for kindergarten based on the concept of brain-based learning, title: 8 Buddha statue postures that Thai kindergarten should know. As well as to study the efficiency and satisfaction of the population in this study, the kindergarten age 5-6 years in Thepwittaya school. Semester 2, 2012. A total of 30 samples were selected using simple random sampling. The results showed that the samples of 12 males and 18 females used to see some of the Buddha statues before. When students have been experimenting with the computer assisted instruction which contents are consisted of eight postures of Buddha and also the game about searching the Buddha statue postures as the game photo hunt. The study shows that children can do in the posttest was 97.50 percent, which is higher than the standard evaluation of 80 percent to gain, so its is considered in a very good quality. The observation also shows that the children are happy and fun to use the materials on this computer. They can work in the group to reviewed for accuracy and when an error is detected, it can be solved within the group. This computer assisted instruction is reach the objective of the study is to put the children’s brain-based learning in both individual and group, they can identify and count the number of comparisons, planning and make a decisions on their own. More over this brain-based learning can create the interactive environment in the class and keep them to learn how to make a relationship with others, as well as to learn about the aesthetics of the Buddhist art. This study suggested that the Ministry of Education should provide knowledge of art history as part of the curriculum in kindergarten education. Including, they should be developed to create computer assisted instruction of Buddha statue in-depth detail, diversity and more quantity. Finally, it should support the establishment of central data center with audio and graphics in the history of art as a social services.